
วันที่ 10–11 มิถุนายน 2568 ณ บ้านช้างตระกูลแสน ดูช้างดูดอย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “การช่วยเหลือสัตว์ในสถานการณ์น้ำเชี่ยวและน้ำท่วม” (Animal Rescue in Swiftwater & Flood Incidents)
การฝึกอบรมมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของทีมอาสากู้ภัยและภาคีเครือข่าย ในการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ปางช้าง ซึ่งมักได้รับผลกระทบจากน้ำหลากและน้ำป่าในฤดูฝนของทุกปี
การอบรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากบทเรียนของเหตุอุทกภัยใหญ่ในปี 2567 ที่ลุ่มน้ำแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งประชาชนและสัตว์ โดยเฉพาะปางช้างที่ได้รับความเสียหาย และมีช้างเสียชีวิตจากกระแสน้ำเชี่ยว
เพื่อป้องกันความสูญเสียซ้ำรอย เหตุการณ์นี้จึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบการอพยพสัตว์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ



พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กลุ่มอาสากู้ภัยมักเป็นหน่วยแรกที่เข้าถึงพื้นที่ประสบภัยเพื่อช่วยเหลือทั้งมนุษย์และสัตว์ ด้วยหลัก “จิตวิญญาณแห่งพระโพธิสัตว์” ที่พร้อมเสียสละเพื่อผู้อื่น
การอบรมในครั้งนี้จึงบูรณาการความร่วมมือจากองค์กร ISARA THAILAND ทีมอาสากู้ภัย ภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม น้ำป่า แผ่นดินไหว และไฟป่า
มีอาสากู้ภัยจากหลายพื้นที่เข้าร่วมกว่า 30 คน โดยเน้นการฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเสริมทักษะการอพยพสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ไก่ หมู วัว และแพะ ให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงได้อย่างปลอดภัย
กิจกรรมเด่นคือการนำนวัตกรรม “กู้ภัยตัวโต” หรือการใช้ “ช้าง” เป็นพาหนะลำเลียงสัตว์ข้ามกระแสน้ำเชี่ยว โดยใช้เทคนิคกู้ภัยทางเชือก (Technical Rope Rescue) และอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น กล่อง กรง และเชือกนิรภัย
ผลจากการฝึกภาคสนามพบว่า ช้างสามารถตอบสนองคำสั่งจากทีมกู้ภัยได้ดี ไม่มีอาการตื่นตระหนก และสามารถพาสัตว์เลี้ยงผ่านพื้นที่เสี่ยงได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นต้นแบบของการใช้สัตว์ร่วมในภารกิจช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงอย่างเป็นระบบ
พระครูอ๊อดกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีการจัดตั้ง “หน่วยกู้ภัยตัวโต” หรือ “หน่วยกู้ภัยช้าง” ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือสัตว์ในสถานการณ์วิกฤต
โดยมีแผนตั้งศูนย์อพยพสัตว์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านสัตวแพทย์ ทีมกู้ภัย และองค์กรจิตอาสา รวมถึงจัดระบบดูแลสัตว์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยระหว่างเกิดเหตุ
การฝึกอบรมในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้าง “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการจัดการภัยพิบัติที่ให้ความสำคัญกับสัตว์อย่างเท่าเทียม และผลักดันความร่วมมือข้ามภาคส่วนสู่ระบบที่ยั่งยืน